วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าว - รุกหนักโครงสร้างพื้นฐานรับประชากรอาเชียน


"รุกหนักโครงสร้างพื้นฐานรับประชากรอาเชียน"


"ปัจจุบันขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในภาพรวมลดลงจากอันดับที่ 27 เป็น 30 จากการประเมินในปีที่ผ่านมา หากเทียบกับขีดการแข่งขันประเทศรอบ ๆ ด้านปรากฏว่าไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 49 โดยประเทศมาเลเซียจัดอยู่ในอันดับที่ 26 อินโดนีเซียอันดับที่ 56   

 นายจารุพงศ์  เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเปิดประเด็น ในฐานะที่เป็นองค์ปาฐกบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ  "เปิดแผนลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน" ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพมหานคร โดยลงรายละอียดน่าสนใจว่า  รัฐบาลโดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สนับสนุนให้แต่ละหน่วยงานสามารถยืนหยัดด้วยตนเองจากการระดมทุนภายในประเทศโดยไม่ต้องไปกู้เงินต่างประเทศมาดำเนินการจึงดำเนินการตามพ.ร.บ.การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจภายใต้งบ 2.2 ล้านล้านบาทโดยการระดมทุนในต่างประเทศเป็นหลัก

 โดยรัฐบาลได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไว้ 5 ด้านด้วยกัน คือ 1.การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 2.การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการ 3.การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ 4.การพัฒนาระบบการประกันภัย และ 5.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้การขับเคลื่อนด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปตามที่กำหนดไว้

 สำหรับเป้าหมายสำคัญเพื่อให้เกิดการพัฒนาโครงข่ายทางบกเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับเออีซีที่ในภูมิภาคอาเซียนนั้นปัจจุบันมีประชากรรวมกันประมาณ 669 ล้านคน คิดเป็น 9% ของประชากรโลก ส่วนไทยมีประมาณ 69 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังมีความวิตกว่าการจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวนั้นขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมด้านกฎหมาย  เรื่องการศึกษา ระบบขนส่ง ใบขับขี่ น้ำหนักรถบรรทุก รวมถึงมิติแห่งความคิดและจิตวิญญาณของประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้ร่วมกันเป็นหนึ่งได้หรือยัง

+ดันเส้นทางเชื่อมโยงเมืองหลวง 3 ประเทศ ดังนั้นจึงเร่งผลักดันเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศเพื่อเสริมสร้างความเป็นฮับทางการบินของภูมิภาค อีกทั้งยังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำเพื่อเป็นประตูการขนส่งของอนุภูมิภาคนี้ ส่วนทางบกในแนวอีสต์-เวสต์คอร์ริดอร์ยังต้องเร่งผลักดันโดยเฉพาะแนว 2 เส้นทางที่เชื่อมโยงเมืองหลวงของ 3 ประเทศคือฮานอย- พนมเปญ-ไทย ได้แก่ เส้นทางจากโฮจิมินห์- ไซ่ง่อน- พนมเปญ มุ่งสู่ทวาย และเส้นทางเมืองดานังของเวียดนาม ผ่านสุวรรณเขต  -มุกดาหาร- ขอนแก่น- แม่สอด- ตาก ออกสู่เมืองมะละแหม่งของพม่า อีกทั้งยังให้ความสำคัญเส้นทางเลียบทะเลผ่านปอยเปตซึ่งปี 2556 จะให้เชื่อมโยงไทยผ่านเจดีย์ 3 องค์ออกสู่ประเทศพม่า โดยเร่งวางแผนจัดงบ+ประมาณเร่งดำเนินการต่อไป

 ปัจจุบันประเทศไทยมีถนนเพื่อการขนส่งทางบกประมาณ 2 แสนกิโลเมตร โดยอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคมประมาณ 1 แสนกิโลเมตร ภายใต้การดำเนินการของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ในส่วนที่เหลือเป็นความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ปัจจุบันยังได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ ขาดการบริหารจัดการที่ดีจึงต้องเร่งให้เห็นถึงความสำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น อีกทั้งกระทรวงคมนาคมยังมีแผนยกระดับการบริหารจัดการท่าเรือน้ำลึกทั้ง 6 แห่งให้เกิดประสิทธิภาพและเร่งขยายศักยภาพ พร้อมกับมีแผนเร่งพัฒนาจุดคอขวดช่วงมอเตอร์เวย์สาย 7 ให้เพิ่มเป็น 14 ช่อง และเร่งดำเนินการด้านการขยายเส้นทางรถไฟเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังเพิ่มอีก 6 รางเพื่อประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้าออกสู่ทางทะเล

+มุ่งลดต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP  นอกจากนั้นยังมุ่งลดต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ที่ในปี 2553 ต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยมูลค่าประมาณ 1.64 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.2 ของ GDP ต้นทุนการขนส่งสินค้ามีมูลค่าสูงถึง 47.2% หรือร้อยละ 7.2 ต่อ GDP โดยกระทรวงคมนาคมรับผิดชอบต้นทุน 7.2% ต่อ GDP ซึ่งปัจจุบันการขนส่งภายในประเทศยังใช้การขนส่งทางถนนเป็นหลักมากกว่า 82.6% ทางราง 2.2 % ทางชายฝั่งทะเล 5.7% ทางน้ำในประเทศ 9.5% และทางอากาศ 0.02% 

โดยได้เร่งเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรางจากเดิม 2.5% ให้เป็น 5% ในกรอบเวลา 5 ปี และ 10 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 10% การเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางน้ำจากเดิม 15% ให้เป็น 18% กรอบเวลา 5 ปี และใน 10 ปีเพิ่มเป็น 20% พร้อมกับการปรับทางถนนให้เป็นฟีดเดอร์ และการพัฒนารถไฟทางคู่

 ส่วนเป้าหมายหลักการพัฒนาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งเพื่อที่จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งให้ได้ 1.8 บาทต่อตันต่อกิโลเมตร การเพิ่มปริมาณผู้โดยสารในระบบขนส่งสาธารณะของประเทศไทยโดยรวม 6% โดยเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรางให้ได้ 5% ทางน้ำ 10.5% ทางชายฝั่ง 7.5% เพิ่มปริมาณผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่น้อยกว่า 60 ล้านคน มูลค่าประหยัดเวลาการขนส่งไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาทต่อปี ลดความสูญเสียจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 1.5 แสนล้านบาท/ปี และการเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งสินค้าในภาพรวม 900 ล้านตันต่อปี จาก 700 ล้านตันต่อปี

 ประการสำคัญยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาบุคลากรโดยเฉพาะเบอร์ 1 ขององค์กรนั้นๆเพื่อทำให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ ทางด้านการบริหารจัดการ การสร้างแรงจูงใจที่จะต้องมีการประเมิน ล่าสุดยังเร่งเดินหน้าก่อสร้างสุวรรณภูมิเฟส 2 พร้อมกับการสร้างรันเวย์ที่ 3 และ 4 เพิ่มซึ่งตามแผนสามารถรองรับได้ 100 ล้านคนต่อปี จึงต้องเริ่มวางแผนรองรับไว้ตั้งแต่วันนี้พร้อมกับการเร่งสอบถามความเห็นสายการบินต่างๆเพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการกำหนดแผนพัฒนาในระยะต่อไป

+พร้อมผลักดันกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กระทรวงคมนาคมยังคงมุ่งเน้นการให้บริการด้านการขนส่งสาธารณะ ขนคนมากกว่าขนรถด้วยระบบรางในโครงการรถไฟฟ้า 10 สาย ไฮสปีดเทรน 4 เส้นทาง รถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง มอเตอร์เวย์  5 เส้นทาง ให้เป็นไปตามโรดแมปภายในระยะเวลา 4-5  ปีข้างหน้าโดยเป็นการเพิ่มขีดความสามารถด้านศักยภาพจราจรและยังเป็นทางเลือกในการเดินทางให้สอดคล้องกับพ.ร.บ.โลจิสติกส์ โดยรัฐบาลลงทุนด้านการเวนคืน ควบคุมการจัดเก็บและบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผนแล้วนำงบประมาณที่ได้กลับมาพัฒนาโครงข่ายให้ดีขึ้นหรือนำไปลงทุนในโครงการใหม่ต่อไป ส่วนรูปแบบการบริหารจัดการโครงการดังกล่าวนั้นรัฐบาลมีแผนจะก่อตั้งกองทุนเพื่อนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามาร่วมลงทุนให้มากขึ้นโดยรัฐบาลรับประกันความเสี่ยง พร้อมกับการเพิ่มกำลังขยายกองทุนให้เพียงพอต่อไป
ที่มา.........หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,769  26-29  สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น